วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เผยเด็กทั่วโลกกว่า 2 ล้านตายด้วยโรคปอดบวม หรือ 1 คนทุก 15 วินาที วอนวันแม่แห่งชาติร่วมกันรณรงค์ป้องกันโรคนี้
เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม 2555 เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กล่าวว่าในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี ทางราชการกำหนดให้เป็นวันแม่แห่งชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และสิ่งที่คู่กับแม่ก็คือลูกที่เป็นเด็กเล็กที่มีความเสี่ยงป่วยด้วยโรค "ปอดบวม" ได้ง่าย โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจจนเกิดอาการอักเสบบริเวณเนื้อปอดและหลอดลม จัดเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบหายใจในเด็กที่รุนแรงและเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและทั่วโลก บางครั้งอาจทำให้เกิดความพิการ และหากป่วยรุนแรงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง หรือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซ่งส่วนใหญ่เด็กจะป่วยด้วยโรคปอดบวมมากในช่วงฤดูฝน หรือปลายฝนต้นหนาว
พบว่าปีหนึ่งๆ มีเด็กทั่วโลกกว่า 2 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวม หรือผู้ป่วยเด็กเสียชีวิตจากโรคปอดบวม 1 คน ทุก 15 วินาที สำหรับประเทศไทยในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ป่วยเป็นโรคปอดบวมกว่า 1 แสนคนและเสียชีวิตกว่า 100 คน จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าในปี 2555 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 – 1 กรกฎาคม 2555 มีผู้ป่วยโรคปอดบวมในทุกกลุ่มอายุจำนวน 81,311 ราย เสียชีวิต 546 ราย ในจำนวนนี้กลุ่มที่ป่วยเด็กเล็กอายุ 1 ปี มีประมาณร้อยละ 9.54 พื้นที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงต้องเฝ้าระวังกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงดังนี้
• เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี
• เด็กที่มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย เด็กคลอดก่อนกำหนด
• เด็กที่มีภาวะทุโภชนาการ
• เด็กที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคทางสมอง
• เด็กที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำหรืออยู่ในชุมชนแออัด สุขาภิบาลไม่ดี
• เด็กที่ได้รับควันบุหรี่จากบุคคลรอบข้าง
• เด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีจำนวนเด็กมาก ๆ
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องกระตุ้นให้แม่หรือผู้ดูแลเด็กทราบถึงวิธีการดูแลและป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก โดยมีคำแนะนำ สำคัญในการป้องกันโรคปอดบวมในเด็กดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปอยู่ในสถานที่เสี่ยง เช่น โรงพยาบาล โรงหนัง ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่มีคนมาชุมนุมกันหนาแน่น
2. กรณีที่เด็กป่วยมีอาการของไข้หวัด ให้หยุดเรียน พักผ่อนรักษาที่บ้านจนกว่าจะหาย
3. ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะให้เด็กรับประทานเอง ควรปรึกษาสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านเพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้อง
4. ดูแลสุขภาพเด็กให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง
5. หัดให้เด็กมีนิสัยหมั่นล้างมือบ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหาร หลังจับต้องสิ่งของสกปรกและหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
6. ผู้ดูแลเด็กที่ป่วยมีไข้ ไอ จาม ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหรือจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือบ่อยๆ
เภสัชกรเชิดเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายว่า พ่อแม่ผู้ปกครองควรสังเกตุอาการของโรคและทราบวิธีการการดูแลเด็กป่วยเบื้องต้น โดยหากเด็กเล็กป่วยเป็นไข้หวัด ในบางรายอาจมีโรคปอดบวมแทรกซ้อนได้ ดังนั้นมารดาหรือผู้ปกครองต้องคอยสังเกตอาการและดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยการให้ดื่มน้ำหรือนมบ่อยๆ กินอาหารที่ย่อยง่าย หากมีไข้ให้เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำธรรมดาและอาจให้กินยาพาราเซตามอล ให้เด็กนอนพักผ่อนให้เพียงพอ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายป่วยภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากไม่ดีขึ้นโดยเด็กมีอาการซึมลง ไม่กินน้ำ ไม่กินนม มีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบเร็ว หายใจมีเสียงฮืดหรือเสียงหวีด หายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม ซึ่งเป็นสัญญาณของการอาการปอดบวม ให้รีบพาเด็กไปพบตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทันที เพื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก อันตรายต่างๆ จะน้อยลง
ข้อความหลัก " โรคปอดบวม แสนร้าย ภัยใกล้ตัวเด็ก หากมีไข้ ไอหายใจถี่ หอบ รีบพาไปตรวจรักษาทันที”
กรมควบคุมโรค ห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี
ที่มา http://dpc9.ddc.moph.go.th/crd/news/2555/08_09_pneu.html
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น