วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อย่าปล่อยให้ยุงฆาตกร (ร้อยศพ) ไข้เลือดออกลอยนวล แนะประชาชน รุมตัดตอนวงจรชีวิตยุงลายด้วย 5 ป.ก่อนโศกนาฏกรรมบทใหม่จะเริ่ม



เมื่อวันที่ 6 กรกฏาคม 2555 เภสัชกรเชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ หัวหน้ากลุ่มสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค เผยว่า จากสภาพภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ของประเทศไทยเป็นเขตร้อนชื้น มีอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หลายพื้นที่ช่วงนี้มีฝนตก หรือในบางพื้นที่มีพายุฝนเข้า ทำให้มีน้ำขังนิ่งเอื้ออำนวยต่อการเกิดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามธรรมชาติ ซึ่งยุงชนิดที่เป็นพาะหะนำโรคไข้เลือดออกในประเทศไทยได้แก่ ยุงลายบ้าน เป็นพาหะหลัก และยุงลายสวนเป็นพาหะรอง


โรคไข้เลือดออกที่พบในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ จึงเรียกชื่อว่าเดงกี่ฮีโมราจิคฟีเวอร์ ( Dengue Haemorrhagic Fever, DHF) ซึ่งไวรัสเดงกี่นี้มี 4 ชนิด และมีภูมิคุ้มกัน ของกลุ่มบางชนิดร่วมกัน เมื่อมีการติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสนั้นอย่างถาวรตลอดชีวิต แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกี่อีก 3 ชนิด ในช่วงระยะสั้นๆประมาณ 6-12 เดือน หรืออาจสั้นกว่านั้น ดังนั้นผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุมอาจมีการติดเชื้อ 3 หรือ 4 ครั้งได้

ในแต่ละปีประเทศไทยพบผู้ป่วยไข้เลือดออกกว่า 6 หมื่นคน และเสียชีวิตหลักร้อยคน จากการรายงานทางระบาดวิทยา พบว่าสถานการณ์โรคนี้ในประเทศไทยปี 2555 นี้มีแนวโน้มสูงผิดปกติ ทั้งนี้มีผู้ป่วยสูงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2555 มีผู้ป่วยแล้ว 17,086 ราย เสียชีวิต 18 ราย ถือว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อน และพบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีแนวโน้มอยู่ในกลุ่มอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป (วัยผู้ใหญ่) โดยมีผู้เสียชีวิตในวัยผู้ใหญ่ 9 ราย ซึ่งมีแนวโน้มว่าปีนี้การระบาดและความรุนแรงของโรคจะเพิ่มมากขึ้นโดยกระจายอยู่ในทั่วทุกภาคของประเทศ

โรคไข้เลือดออกมักเกิดกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่คือ ไข้เดงกี่ อาจมีอาการไม่รุนแรง มีอาการไข้ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และมีผื่น บางรายอาจมีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีเม็ดเลือดขาวต่ำได้ ในผู้ใหญ่เมื่อหายจากเป็นโรคแล้วจะมีอาการต่อเนื่องอยู่ โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถวินิจฉัยจากการตรวจเลือดได้ ต้องอาศัยการตรวจทางน้ำเหลือง

เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนดูแล ป้องกัน โรคไข้เลือดออกได้ด้วยตนเอง จึงแนะนำประชาชนให้เดินหน้ารณรงค์กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ตัดตอนวงจรชีวิต เน้นย้ำ มาตรการ “ 5 ป.ปราบยุงลาย ” ได้แก่ ปิด เปลี่ยน ปล่อย ปรับ ปฏิบัติ โดยมีวิธีทำได้ง่าย ๆ คือ

1. ปิด ปิดภาชนะขังน้ำให้มิดชิด ป้องกันยุงลายลงไปวางไข่

2. เปลี่ยน เปลี่ยนน้ำในแจกัน ถังเก็บน้ำ ทุก 7 วันที่ตรงกันทั้งชุมชนเพื่อตัดวงจรลูกน้ำที่จะกลายเป็นยุง

3. ปล่อย ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวร

4. ปรับ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง โล่งสะอาด ลมพัดผ่าน ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย

5. ปฏิบัติเป็นประจำจนเป็นนิสัย ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอตลอดไป

เภสัชกรเชิดเกียรติ กล่าวแนะนำต่อว่า หากสงสัยบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ไข้สูงลอยสูง 39-40 องศาเซลเซียส นานเกิน 2 วัน ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึม เบื่ออาหาร หน้าแดง คอแดง ปวดศีรษะหรือปวดกระบอกตา อาจพบจุดเลือดที่ผิวหนัง กดเจ็บชายโครงด้านขวา มักไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ให้สงสัยเป็นโรคไข้เลือดออก และโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง อย่างเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ใหญ่ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดโรคไข้เลือดออก หากมีมีอาการตามข้างต้นให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทันที จะทำให้ป้องกันและลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกได้ หรือหากประชาชนมีข้อสงสัยเรื่องโรคไข้เลือดออกสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

ข้อความหลัก " 5 ป.ปราบยุงลาย เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ ป้องกันไข้เลือดออก”

กรมควบคุมโรค ห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี

ที่มา http://dpc9.ddc.moph.go.th/crd/news/2555/07_05_dhf.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น