วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

เผยคำแนะนำ 5 ประการสยบวัณโรค ให้วัคซีน ปิดปากจมูก เวลาไอจาม ติดตามกินยา ค้นหา และหลีกเลี่ยงสัมผัสโรค



เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2555 นายแพทย์โกวิท พรรณเชษฐ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มระบาดวิทยาและข่าวกรอง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัญหาโรคติดต่อที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุข เป็นสาเหตุของการป่วยและการตายในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก และอาจกลับมามีปัญหาใหม่อีกครั้งคือ โรควัณโรค และตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้วัณโรคอยู่ในภาวะฉุกเฉินสากลและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกรายงานว่าพบผู้ป่วยวัณโรคหรือความชุกในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกประมาณ 16 – 20 ล้านคน โดยประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ประมาณ 8 – 10 ล้านคนเป็นกลุ่มที่กำลังแพร่เชื้อ โดยร้อยละ 85 อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา


รายงานปี 2553 ในจำนวน 22 ประเทศที่มีขนาดปัญหาด้านวัณโรคสูง องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก โดยคาดการว่าจะมีผู้ป่วยวัณโรคพบเชื้อรายใหม่ประมาณ 92,300 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งหรือ 44,275 เป็นผู้ป่วยระยะแพร่เชื้อ จากการแพร่ระบาดของเอดส์ส่งผลให้การแพร่ระบาดของวัณโรคมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยวัณโรครายใหม่จึงตรวจพบติดเอดส์ร่วมด้วยประมาณร้อยละ 17 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของผู้ป่วย ปัจจัยหนุนสำคัญของวัณโรค คือ การเคลื่อนย้ายประชากรจากชนบทเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ แหล่งชุมชนแออัดของประชากรยากจน แรงงานย้ายถิ่นจากประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน และผู้ต้องขังในเรือนจำ

การดำเนินงานวัณโรคในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ( พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ สุโขทัย ตาก ) พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยวัณโรคปอดระยะแพร่เชื้ออยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และหนึ่งในปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือผลการรักษาที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายจากตายและขาดยารักษาสูง ดังนั้นประชาชนทุกคนควรร่วมมือร่วมใจต่อสู้กับโรคร้ายนี้โดยการสร้างความเข้มแข็งในการควบคุมป้องกันเพื่อกำจัดวัณโรค ตามคำขวัญการรณรงค์ปีนี้ที่ว่า “ เมืองไทยปลอดวัณโรค “

นายแพทย์โกวิท กล่าวต่อให้คำแนะนำการป้องกันวัณโรคสำหรับประชาชนว่า 1) ให้วัคซีนบีซีจีป้องกันตั้งแต่แรกเกิดจะช่วยป้องกันการเกิดวัณโรคที่รุนแรงและวัณโรคเยื่อหุ้มสมอง 2) หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่กำลังไอ และยังไม่ได้รับการรักษาด้วยยาวัณโรค 3) ผู้ป่วยควรปิดปากหรือสวมหน้ากากอนามัย ปิดจมูกเวลาไอ จาม และควรล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังจากไอ จาม

และคำแนะนำในการควบคุมวัณโรคสำหรับญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย คือ 4) การติดตามการกินยาของผู้ป่วยให้ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอและครบตามสูตรยาที่รักษารวมทั้งติดตามผลการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง 5) ค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยแล้วนำไปให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อพิจารณาให้การรักษาและเฝ้าระวังป้องกันโรคในกลุ่มเสี่ยง

ข้อความหลัก " เริ่มที่ตัวเรา เราปลอดวัณโรค เมืองไทยก็ปลอดวัณโรคด้วย ”

กรมควบคุมโรค ห่วงใย อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี

ที่มา http://dpc9.ddc.moph.go.th/crd/news/2555/03_30_TB.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น